Contact UsInvestorsCareersMediaScienceContact Us ติดต่อเราInvestorsCareersMediaScienceContact Us
หน้าหลักเกี่ยวกับเราเป้าหมายมูลนิธิไฟเซอร์มูลนิธิไฟเซอร์

เกี่ยวกับเรา

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย เป็นองค์กรการกุศลที่ดำเนินงานอย่างอิสระ ริเริ่มและสนับสนุน โดย บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งขึ้นเมื่อปี พ .ศ. 2544 เพื่อดำเนินโครงการเพื่อสังคมหลายด้านหลากมิติ ด้วยความเชื่อในคุณค่าของการให้ ความศรัทธาในศักยภาพของเพื่อนมนุษย์ และความตั้งใจจริงที่จะมอบโอกาส ความหวัง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ผู้ต้องการโอกาส  ทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอินโดไชน่า เพื่อให้พวกเขาได้มีโอกาสเติมเต็มความหวัง ความฝันให้เป็นความจริงและมีชีวิตที่ดีขึ้น

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะ “มอบความรู้ สู่คุณภาพชีวิตที่ดีมีสมดุล” แก่คนทุกเพศ ทุกวัย โดยบูรณาการศักยภาพและความเชี่ยวชาญ ร่วมกับพันธมิตรในภาคส่วนต่างๆ ที่ยึดถือคุณค่าร่วมกัน ในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ด้วยการนำทรัพยากร บุคลากร ความรู้และปัจจัยต่างๆ เพื่อสนับสนุนและการสร้างเสริมโอกาสสู่คุณค่าชีวิต 3 ด้านหลัก คือ ส่งเสริมการศึกษา ส่งเสริมสุขภาพ และพัฒนาคุณภาพชีวิต 

เราตระหนักว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือใครหรือชุมชนใดไปได้ตลอด ดังนั้นในการพัฒนาชีวิตและชุมชน เราจึงมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพ ให้ผู้รับได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ให้แก่สังคม และส่งต่อวัฒนธรรมการให้ในสังคมไทยต่อไป

เราภูมิใจที่ได้มีส่วนในการเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนจำนวนมาก เปลี่ยนจากผู้ด้อยโอกาสมาเป็นผู้ได้โอกาส ซึ่งเป็นความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและจะคงอยู่ตลอดไป

วิสัยทัศน์ พันธกิจ คุณค่า

วิสัยทัศน์
สังคมแห่งสุขภาพด้วยคุณภาพชีวิตที่ดี 

พันธกิจ
มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ร่วมพัฒนาคุณภาพชีวิตและสุขภาพ ด้วยการสนับสนุนด้านการศึกษา แบ่งปันทักษะความรู้ เสริมสร้างศักยภาพ และปลูกฝังวัฒนธรรมการรู้จักให้เพื่อสังคม

คุณค่า

  • ความรู้สู่คุณภาพชีวิต – เราเชื่อในคุณค่าของความรู้ ว่าคือปัจจัยสู่การเลือกดำเนินชีวิตให้มีสุขภาพที่ดีมีสมดุล ทั้งร่างกายและจิตใจ

  • ความยั่งยืน – เราเชื่อในศักยภาพของเพื่อนมนุษย์ ที่จะเรียนรู้และเกิดปัญญา ซึ่งเป็นรากฐานสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

  • ไม่มีพรมแดน – เราเชื่อว่าภารกิจการสร้างประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่ควรจำกัดด้วยเส้นพรมแดน

ผู้บริหาร

ความตั้งมั่นในการส่งเสริม “การมอบความรู้ สู่คุณภาพชีวิตที่ดีมีสมดุล” ให้แก่สังคม เป็นค่านิยมองค์กรของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ด้วยเชื่อมั่นว่าการให้โอกาสแก่ผู้ที่ต้องการ จะทำให้พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์ 

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยรักษาคำมั่นสัญญาที่มีต่อสังคมไทยเสมอมา เรานำทรัพยากรที่มีประสานกับองค์กรพันธมิตรที่มีความเข้มแข็งดำเนินโครงการในสามด้านหลัก คือ ส่งเสริมสุขภาพ ส่งเสริมการศึกษา และพัฒนาคุณภาพชีวิต ความร่วมมือร่วมใจของเราทำให้เกิดการนำจุดแข็งที่แต่ละภาคส่วนมีมาใช้ร่วมกัน เมื่อพลังของมูลนิธิฯ และองค์กรพันธมิตรได้ยกระดับพันธกิจเราให้กลายเป็นโครงการพัฒนาที่จับต้องได้ สังคมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น

นี่คือการช่วยเหลือเกื้อกูลอันยิ่งใหญ่ ดิฉันมีความภาคภูมิใจที่ได้เฝ้าดูผลลัพธ์ของการอุทิศแรงกายแรงใจของมูลนิธิฯ ซึ่งมีความทุ่มเทที่จะทำให้เกิดสังคมสุขภาพดีมีคุณภาพชีวิตมามากกว่าหนึ่งทศวรรษ เราจะร่วมมือกับองค์กรพันธมิตรทุกภาคส่วนต่อเนื่องไปในอนาคต เพื่อสร้างคุณค่าอันยั่งยืนให้แก่สังคมไทย

ในนามของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ดิฉันขอขอบคุณคณะกรรมการ เพื่อนร่วมงาน และองค์กรพันธมิตร ที่ร่วมกันสรรค์สร้างความเปลี่ยนแปลงอันดีงามให้แก่คุณภาพชีวิตของผู้คน

เด็บบราห์ ไซเฟิร์ท
ประธานกรรมการมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย

คณะกรรมการ

คณะกรรมการบริหารมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย  มีการประชุมอย่างน้อยปีละสองครั้ง เพื่อกำหนดเป้าหมาย ความสำคัญ และพิจารณาข้อเสนอ และอนุมัติงบประมาณ ตามภาระหน้าที่ของมูลนิธิฯ และอาจมีการประชุมอีกตามความจำเป็นเพื่อติดตามการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้

นางสาวเด็บบราห์ ไซเฟิร์ท
ประธานกรรมการ
ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นายแพทย์นิรุตติ์  ประดับญาติ    
รองประธานกรรมการ
ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นายซานดีพ มิตรา    
กรรมการ
ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

นายซานดีพ มิตรา    
กรรมการ
ผู้อำนวยการฝ่ายการเงินบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด

โครงการส่งเสริมการศึกษา

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศที่กำลังพัฒนา เราจึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาด้านการแพทย์ เพื่อช่วยให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านมีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและเพียงพอต่อประชาชน โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาของรัฐในประเทศไทย กัมพูชาและเวียดนาม

ตั้งแต่ปี 2546 มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่วางแผนการเรียนต่อในสาขาแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ปัจจุบันเราได้มอบทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษากว่า 320 คน ไปแล้วกว่า 1,200 ทุน รวมมูลค่ากว่า 61 ล้านบาท

ตั้งแต่ปี 2555 มูลนิธิฯ ได้มอบทุนสนับสนุนการฝึกอบรมให้แก่แพทย์ใน “โครงการสนับสนุนการฝึกอบรมแพทย์ต่อยอดสำหรับแพทย์ลาว” ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในสายกุมารเวชศาสตร์ และอายุรเวชศาสตร์ โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และองค์กรเฮลธ์ ฟรอนเทียร์ โดยมอบทุนให้ แพทย์ต่อยอด 5 รุ่น จำนวน 10 คน มูลค่ารวม 5.1 ล้านบาท

ในช่วงปี 2546-2554 มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์ ของโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ จำนวน 54 คน รวมมูลค่ารวม 4.8 ล้านบาท ที่มีความประสงค์จะศึกษาต่อด้านการแพทย์และสาธาณสุขในระดับมหาวิทยาลัย และมีความประพฤติและผลการเรียนดีเด่น

นอกจากนี้เรายังได้สนับสนุนเว็บไซต์ขององค์กรทางการแพทย์และเภสัชศาสตร์ 3 แห่งได้แก่ แพทยสภา สภาเภสัชกรรม และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย

ทุนการศึกษา


ตั้งแต่ปี 2546 มูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษา แก่นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่วางแผนการเรียนต่อในสาขาแพทยศาสตร์ เภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยเราได้คัดเลือกนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเด่นและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคม ทุนการศึกษาทุกทุนถือเป็นของขวัญจากมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย เพื่อสนับสนุนให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาผู้มีจิตอาสาโดยเฉพาะในด้านการแพทย์ ได้มอบสิ่งดีๆ ต่อให้กับสังคม โดยการมอบทุนนี้ ไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ให้แก่นักเรียนนักเรียน นิสิต นักศึกษา ในสถานศึกษา 21 แห่งในประเทศไทย กัมพูชาและเวียดนาม

  1. โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์

  2. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

  3. มหาวิทยาลัยขอนแก่น

  4. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

  5. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

  6. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

  7. มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

  8. มหาวิทยาลัยนเรศวร

  9. มหาวิทยาลัยบูรพา

  10. มหาวิทยาลัยพะเยา

  11. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

  12. มหาวิทยาลัยมหิดล (ศิริราชและรามาธิบดี)

  13. มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง

  14. มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

  15. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

  16. มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

  17. มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์

  18. มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช

  19. มหาวิทยาลัยฮานอย ประเทศเวียดนาม

  20. มหาวิทยาลัยโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม

  21. มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ แห่งกัมพูชา

โครงการสนับสนุนการฝึกอบรมแพทย์ต่อยอดสำหรับแพทย์ลาว

ตั้งแต่ปี 2555 เราได้มอบทุนการศึกษาอบรมให้แก่แพทย์ใน “โครงการสนับสนุนการฝึกอบรมแพทย์ต่อยอดสำหรับแพทย์ลาว” ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในสายกุมารเวชศาสตร์ และอายุรเวชศาสตร์ โดยได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และองค์กร เฮลธ์ ฟรอนเทียร์

นอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนและการทำวิจัยแล้ว แพทย์ผู้ศึกษาต่อเหล่านี้ได้ตรวจรักษาผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก และร่วมกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับรังสีรักษา การทำวิจัยด้านมะเร็งในเม็ดเลือด การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ และกิจกรรมของภาควิชาเวชศาสตร์ การธนาคารเลือด ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์และโรงพยาบาลขอนแก่น ตามที่หลักสูตรกำหนด

แพทย์ลาวผู้ได้รับการคัดเลือก จะได้รับทุนต่อเนื่องเป็นเวลาทั้งสิ้น 3 ปี ทุนการศึกษาดังกล่าวได้ครอบคลุมค่าเล่าเรียน ค่าหนังสือเรียน อาหาร ที่พักและค่าใช้จ่ายส่วนตัว

ทุนการศึกษาอบรมแพทย์ลาว เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความทุ่มเทในการช่วยยกระดับความเจริญทางการแพทย์ในประเทศกำลังพัฒนา เพื่อประโยชน์ของประชาชนโดยทั่วไป  โดยมูลนิธิฯสนับสนุนให้แพทย์ผู้ได้รับทุน ได้กลับไปสอนและแบ่งปันความรู้ใหม่ๆ ที่ได้รับให้กับแพทย์ฝึกหัดที่สถาบันหรือโรงพยาบาลในประเทศของตน

โครงการกิจกรรมเพื่อสังคมของนักศึกษาแพทย์

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุน โครงการกิจกรรมเพื่อสังคมของนักศึกษาแพทย์ที่กำลังศึกษาอยู่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรโดยนับเป็นหน่วยกิตการเรียนของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า นอกจากจะเป็นการให้โอกาสแก่นิสิตนักศึกษาแพทย์ได้ฝึกสังเกตแยกแยะและแก้ไขปัญหาสุขภาพในสภาพแวดล้อมจริงในชุมชนแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังช่วยสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคมและความรักในงานจิตอาสาแก่ผู้ที่จะเป็นแพทย์ในอนาคตอีกด้วย

นอกจากจะได้ฝึกฝนสิ่งที่ได้เรียนมาในห้องเรียนและโรงพยาบาลแล้ว นิสิตนักศึกษาแพทย์ยังได้ฝึกทักษะการสื่อสาร ความอดทน การเอาใจเขามาใส่ใจเรา และทักษะชีวิตอื่นๆ ที่จะช่วยในการพัฒนาตนเองให้เป็นแพทย์ที่มีทั้งคุณธรรมและความสามารถ

การจัดทำเว็บไซต์

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย สนับสนุนการจัดทำเว็บไซด์ขององค์กรทางการแพทย์และเภสัชศาสตร์ 3 แห่งได้แก่ แพทยสภา สภาเภสัชกรรม และแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย เพื่อให้เป็นช่องทางการสื่อสารและเผยแพร่ข่าวสาร รายงาน ประกาศ นโยบาย สถิติและข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เภสัชกรและประชาชนทั่วไป

แพทยสภา
1) www.tmc.or.th (แพทยสภา)
เป็นเว็บไซต์ที่เผยแพร่ข่าวสารและประกาศจากแพทยสภา รวมถึงข้อมูลด้านกฎหมายเกี่ยวกับสุขภาพ ข้อบังคับแพทยสภา สถิติที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ในประเทศไทย  

2) www.cmathai.org (ศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม)
เว็บไซต์นี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อใช้สำหรับเป็นฐานข้อมูลออนไลน์สำหรับศูนย์ประเมินฯ ใช้เก็บบันทึกข้อมูลของผู้สมัครขอรับรองวุฒิความรู้ทางการแพทย์ และผลการทำการสอบความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ วิทยาศาสตร์คลินิก และการประเมินทักษะทางคลินิก 2) ใช้เป็นช่องทางสำหรับเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและประกาศจากศูนย์ประเมินฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประเมินระดับความรู้

3) www.ccme.or.th (ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์)
เป็นแหล่งข้อมูลด้านการศึกษาต่อสำหรับแพทย์ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในสาขาต่างๆ

4) www.cmethai.org (ศูนย์ทดสอบศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์)  
เป็นแหล่งรวบรวมข้อสอบและข้อมูลทางวิชาการจากหลายสถาบันทางการแพทย์ และสำหรับทำแบบทดสอบความรู้ทางการแพทย์

สภาเภสัชกรรม

1) www.pharmacycouncil.org (สภาเภสัชกรรม)
เป็นช่องทางการสื่อสารระหว่างสภาเภสัชกรรมกับสมาชิกเภสัชกรและองค์กรที่เกี่ยวข้อง

2) www.cpethai.org (ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์)
เป็นแหล่งข้อมูลด้านการศึกษาต่อสำหรับเภสัชกรที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมในแขนงต่างๆ

3) www.ccpethai.or.th (ศูนย์ทดสอบศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์)
เป็นเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับทำแบบทดสอบความรู้ด้านเภสัชศาสตร์

แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย

1) www.mat.or.th (แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย)
เว็บไซต์นี้เผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ในประเทศไทย เช่น นโยบาย กฎหมาย และการประชุมสัมมนาทางวิชาการต่างๆ

ส่งเสริมสุขภาพ

เพราะมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย เห็นความสำคัญของร่างกายและจิตใจที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข ดังนั้นมูลนิธิฯ จึงมอบโอกาสด้านส่งเสริมสุขภาพทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ โดยโครงการและกิจกรรมช่วยเหลือสังคมในด้านนี้ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ ความรู้-ความเข้าใจเรื่องสุขภาพ และความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็ง

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิไฟเซอร์ ณ กรุงนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนการอบรมให้ความรู้เรื่องการรักษาโรคมะเร็งและการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง ภายใต้โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ป่วยมะเร็ง (Global Health Partnership – Thailand Cancer Control) ซึ่งใช้งบประมาณทั้งสิ้น 21 ล้านบาท โดยได้รับความร่วมมือจากสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society) ซึ่งทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการวางแผนจัดการอบรมให้กับบุคลากรทางการแพทย์และอาสาสมัครผู้ช่วยดูแลผู้ป่วย โดยมีระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายนปี 2551-2554 ผ่านองค์กรทางการแพทย์ที่ให้การรักษาโรคมะเร็ง 5 แห่งในประเทศไทย ได้แก่  
            1) มูลนิธิมิตรภาพบำบัด
            2) ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
            3) สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
            4) มะเร็งวิทยาสมาคมแห่งประเทศไทย  
            5) ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
การอบรมเรื่องรักษาโรคมะเร็งและดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง เป็นประโยชน์ต่อการจัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งตามสถานพยาบาลในพื้นที่ห่างไกล โดยอาสาสมัครเหล่านี้ได้รับความรู้เพียงพอที่จะช่วยดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มีฐานะยากจนในชนบท  การมีอาสาสมัครดังกล่าวไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร แต่ยังช่วยส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในชุมชนให้แน่นแฟ้น ยิ่งขึ้นอีกด้วย

บ้านพักสำหรับผู้ป่วยเด็กโรคเรื้อรังและครอบครัว

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ได้ให้การสนับสนุน บ้าน “เฮือนฮัก” (Home of Love) ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักที่คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น ใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรมนักศึกษาแพทย์  บ้านพักดังกล่าว เอื้อให้ผู้ป่วยเด็กที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ได้มีโอกาสพักอยู่กับครอบครัวระหว่างรับการรักษาซึ่งมีระยะเวลานาน ที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น  ครอบครัวของผู้ป่วยเด็กเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่มีรายได้น้อยและต้องเดินทางไกลเพื่อพาลูกมารับการรักษาที่โรงพยาบาล 

บ้าน “เฮือนฮัก” มีการบริหารจัดการแบบองค์รวม (Holistic Approach) ซึ่งให้ความสำคัญทั้งกับสุขภาพกายและสุขภาพจิต เป็นบ้านพักในสถานพยาบาลที่เรียบง่าย สะอาด ปลอดภัย ให้ผู้ป่วยเด็กและครอบครัวรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่ที่บ้าน อีกทั้งเอื้อต่อความจำเป็นด้านสุขภาพร่างกาย สังคม ความรู้สึกและกำลังใจของคนไข้ 

โครงการนี้ได้เริ่มเปิดให้บริการเมื่อเดือนมกราคม 2556 มีผู้ป่วยเด็กและครอบครัวเข้ามาพักอาศัยแล้วประมาณ 50 ครอบครัว และคาดว่าจะสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กและครอบครัวที่มีที่พำนักห่างไกลจากโรงพยาบาลได้วันละประมาณ 10 ครอบครัว หรือ 20 คน นอกเหนือจากที่พำนักรักษาตัวแล้ว ยังมีกลุ่มจิตอาสาโดยนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่นช่วยกันจัดกิจกรรมให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและครอบครัวอีกด้วย

ภาพผลงานที่เสร็จสมบูรณ์จากกิจกรรมปรับปรุงโครงการบ้านพักชั่วคราวของผู้ป่วยเด็กโรคเรื้อรังและครอบครัว ภายในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

PharmaSafe แอพพลิเคชั่นบนมือถือที่บรรจุข้อมูลยาสำหรับผู้ใช้บริการโรงพยาบาลค่ายสุรนารี

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยร่วมกับมูลนิธิโรงพยาบาลค่ายสุรนารีดำเนินโครงการ “PharmaSafe ผู้ช่วยการใช้ยาเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในรูปแบบของแอพพลิเคชั่นบนมือถือ” สำหรับผู้ป่วยที่มารับบริการจากโรงพยาบาลค่ายสุรนารี ระบบนี้ประกอบด้วย การจัดทำฐานข้อมูล (ผู้ป่วยและยาตามรายการของโรงพยาบาล) และแอพพลิเคชั่นบนมือถือที่บรรจุข้อมูลยาที่ถูกต้องตามที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาได้ถูกต้อง ลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาและลดการแพ้ยา แอพพลิเคชั่นนี้ยังช่วยบันทึกประวัติการใช้ยา แจ้งเตือนผู้ป่วยให้ใช้ยาตามเวลา รวมถึงแจ้งเตือนเวลานัดพบแพทย์ครั้งต่อไป ข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาของผู้ป่วยแต่ละรายก็จะถูกบันทึกไว้เช่นกัน 

ไฟเซอร์ รู้-เฒ่า-ทัน-สุข

“สังคมสูงวัย (Aging Society)” ถือเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องด้วยไทยก้าวสู่สังคมสูงวัยในอัตราเร่งที่เร็วที่สุดในภูมิภาคอาเซียน แม้ว่าจะตามสิงคโปร์ซึ่งก้าวสู่สังคมสูงวัยแล้วก็ตาม การเป็นสังคมสูงวัยนั้นส่งผลกระทบหลายด้าน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ เทคโนโลยี แรงงาน การศึกษา การจัดสภาพแวดล้อมรองรับ เป็นต้น ประเด็นเหล่านี้กระทบกับคนทุกกลุ่มวัย ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อผนึกกำลังเตรียมความพร้อมสู่การเป็น “สังคมสูงวัยคุณภาพดี” 

โครงการ “ไฟเซอร์ รู้-เฒ่า-ทัน-สุข” เป็นโครงการระยะเวลา 3 ปี (สิงหาคม 2559 – สิงหาคม 2562)ดำเนินงานใน 2 พื้นที่ (จังหวัด) คือ กรุงเทพมหานคร (เขตคลองเตย และเขตบางขุนเทียน) และ จังหวัดอุบลราชธานี (อำเภอเมือง และอำเภอวารินชำราบ) มี 4 องค์ประกอบหลัก คือ 
(1) สร้างความร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholders Engagement) ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษา และคณะทำงานในพื้นที่ 
(2) พัฒนาศักยภาพ (Strengthening Capacity) ได้แก่ การฝึกอบรมด้านสุขภาพกาย สุขภาพจิต และการเงิน รวมถึง การประเมินและวิเคราะห์ชุมชน การเขียนโครงการ 
(3) รณรงค์ประชาสัมพันธ์ (Promotional Campaign) ได้แก่ การจัดสรรทุนเพื่อบริหารโครงการในชุมชน และการจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความตระหนัก
(4) ติดตามและประเมินผล (Monitoring and Evaluation) ได้แก่ การประชุมสรุปผลประจำปี การสำรวจความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตัว (KAP survey) การประเมินจากผู้ประเมินภายนอก (External Evaluation)และการรวบรวมข้อเสนอเชิงนโยบาย (Policy Recommendation)

จากการดำเนินงานมาตลอดระยะเวลา 3 ปี โครงการฯ ได้รับการสนับสนุนมากกว่า 40 หน่วยงาน ในการเข้าร่วมเป็นคณะที่ปรึกษาโครงการ (Steering Committee) ความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ (Local Stakeholders) และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมวิทยากรในการพัฒนาศักยภาพกลุ่มเป้าหมายโครงการฯ ได้ทำการสำรวจความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรม (KAP survey) ในกลุ่มเป้าหมายจำนวน230 คน ซึ่งมีผู้สนใจรับการอบรมอย่างต่อเนื่อง จำนวน 181 คน (คีนันจัดการอบรมรวมทั้งสิ้น 26 ครั้ง) ส่วนหนึ่งได้พัฒนาเป็น “ผู้นำการเปลี่ยนแปลง” ร่วมจัดกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ในพื้นที่มากกว่า 16 ครั้งและสร้างโครงการที่ช่วยพัฒนาชุมชนถึง 27 โครงการ ที่มีผู้รับผลประโยชน์จากกิจกรรม ได้แก่ เด็กและเยาวชนนักเรียน นักศึกษา วัยทำงานและผู้สูงอายุ มากกว่า 3,983 คน อาทิ โครงการออกกำลังกายด้วยโยคะของ ชุมชนแฟลต 1-10 เขตคลองเตย ที่เกิดจากการรวมตัวของผู้รักสุขภาพ ปรับปรุงและพัฒนาอาคารสาธารณะให้เกิดประโยชน์ จนปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมกิจกรรมโยคะอย่างต่อเนื่อง สร้างการมีส่วนร่วมในชุมชน หรือโครงการ“ลูกหมูสู่ลูกมด รู้อดรู้ออม เพื่อความพร้อมวัยเกษียณ” ของโรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ที่มีครูผู้เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงในสถานศึกษา สนับสนุนการออกกำลังของนักเรียนที่น้ำหนักเกินมาตราฐาน แนะนำโภชนาการที่ดี ปลูกจิตสำนึกการออมเงินผ่าน “ธนาคารโรงเรียน” โดยกิจกรรมทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากผู้อำนวยการโรงเรียนกิจกรรมรณรงค์ประชาสัมพันธ์ “กายฟิต จิตดี มีออม” เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในโอกาสต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดกิจกรรมในวันผู้สูงอายุ (ช่วงเดือนเมษายน) ที่ได้จัดกิจกรรมร่วมกับหน่วยงานสาธารณสุขและสำนักงานพัฒนาสังคมจังหวัด ในระยะเวลา 3 ปีนี้ โครงการฯ ได้จัดกิจกรรมรณรงค์รวมทั้งสิ้น 16 ครั้ง มีผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งเยาวชน นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน และผู้สูงอายุ มากกว่า 1,319 คน ซึ่งจะเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการดูแลสุขภาพกาย สุขภาพจิต สร้างความตระหนักรู้ทางการเงิน ส่งผลต่อการเตรียมความพร้อมสู่สังคมสูงวัยคุณภาพดีต่อไป

ผลผลิตในโครงการ นอกจากจะเป็นทรัพยากรบุคคลแล้ว โครงการฯ ยังได้สร้างคู่มือ “รู้-เฒ่า-ทัน-สุข”จำนวน 2,000 เล่ม ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกเพศทุกวัย ในการนำไปใช้เป็นคู่มือสุขภาวะในชีวิตประจำวัน ไม่เพียง เท่านั้น ยังได้ดำเนินการสัมภาษณ์ผู้บริหารชั้นนำขององค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม องค์กร วิชาการ ฯลฯ เพื่อรวบรวมข้อมูลจัดทำ “ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Policy Recommendation)” โดยมุ่งหวังผลักดันให้เกิดผลในทางปฏิบัติ ในระดับนโยบายของประเทศต่อการเตรียมพร้อมสังคมสูงวัย นอกจากนั้นโครงการฯ ได้จัดทำการประเมินผลภายนอก (External Evaluation) เพื่อนำเสนอรูปแบบและแนวปฏิบัติที่ดีรวมถึงบทเรียนรู้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนให้โครงการประสบความสำเร็จ ได้แก่ การได้รับความอนุเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญอย่างหลากหลาย ในการให้ข้อเสนอแนะและร่วมสร้างกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง มีการติดตามและให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดให้กับผู้นำการเปลี่ยนแปลง การได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารของหน่วยงาน เช่น ผู้อำนวยการโรงเรียน ผู้อำนวยการศูนย์บริการสาธารณสุข เป็นต้น รวมถึง การสนับสนุนจากผู้นำชุมชน และการติดตามประเมินผลการทำงานในทุกกระบวนการ เพื่อพัฒนาและปรับกิจกรรมให้ดียิ่งขึ้น บุคคลที่เกี่ยวข้องต้องได้รับการพัฒนาศักยภาพ รับข้อมูลที่ทันสมัย ถูกต้องตามหลักวิชาการ และต่อเนื่อง และประเด็นที่สำคัญยิ่ง คือ การสรรหาแหล่งทุนและเครือข่ายใหม่ เพื่อการขยายผลการดำเนินงานให้กว้างขวางและต่อเนื่องต่อไปแม้โครงการจะสิ้นสุดลง สิ่งที่ยังคงได้รับการสืบสานต่อ คือ การที่ผู้เข้าร่วมโครงการและผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ จะมีส่วนช่วยสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้น ตั้งแต่ระดับรายบุคคลที่มีพฤติกรรมเชิงบวกด้านสุขภาวะ สร้างความร่วมมือจากพหุภาคี สร้างความเป็นเอกภาพ มีความร่วมแรงร่วมใจที่จะพัฒนา นำความรู้และทักษะจากการอบรม ไปใช้กำหนดนโยบายหรือแนวทางพัฒนาชุมชนของตน มีการขยายแวดวงออกไป สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ ที่จะเปิดโอกาสให้ชุมชนได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆสามารถสรรหาและบริหารทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

พัฒนาคุณภาพชีวิต

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ภูมิใจที่ได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชีวิตของคนไทย ผ่านโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี โครงการพัฒนาเยาวชนในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิ และโครงการบรรเทาภัยพิบัติต่างๆ รวมถึงโรคติดเชื้อโควิด19

สึนามิ และโครงการพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะชีวิตที่จำเป็นของเด็ก

โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตในด้านต่างๆ ของมูลนิธิฯ ได้มีส่วนช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เพิ่มพูนความรัก ความนับถือและภาคภูมิใจในตัวเอง ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้าร่วมโครงการมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น พร้อมรับมือกับความท้าท้ายในชีวิตและกล้าลงมือสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับตนเองและชุมชน

ชีวิตที่ยั่งยืน

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย และ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ได้ริเริ่มโครงการ “ปาท่องโก๋” ซึ่งเป็นโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวี ในปี 2547 ที่ช่วยให้ความฝันของพวกเขาที่จะได้มีกิจการเล็กๆ เป็นของตัวเองเป็นจริง โครงการนี้ออกแบบมาเพื่อให้โอกาสแก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้มีรายได้ที่ยั่งยืน โดยมีเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการ คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีต้องจับคู่กับผู้ที่ไม่ติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นญาติ เพื่อน หรือคู่สมรส นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือด้านอาชีพ โครงการนี้ยังเป็นหนึ่งในความพยายามที่ช่วยลบอคติและสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อผู้ติดเชื้อด้วย

เมล็ดพันธุ์แห่งอนาคต

โครงการพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ในการร่วมสร้างอนาคตที่ดีให้แก่ประเทศชาติ โครงการนี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2549 โดยร่วมมือกับ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย ในการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนไทยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติสึนามิในจังหวัดพังงา

โครงการพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะชีวิตที่จำเป็นของเด็ก เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เราได้ร่วมมือกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยพัฒนาทักษะการอ่านและเสริมสร้างทักษะชีวิตอื่นๆ ที่จำเป็นให้กับเด็กนักเรียนในจังหวัดสตูล

โครงการปาท่องโก๋

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ร่วมมือกับ สมาคมพัฒนาประชากรและชุมชน ได้ริเริ่มโครงการ “ปาท่องโก๋” เพื่อช่วยผู้ที่ได้รับเชื้อเอชไอวีให้มีโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิต มีรายได้ที่ยั่งยืน และสามารถยืนหยัดอยู่ในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ

เงื่อนไขของโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ คือ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะต้องจับคู่มายื่นกู้พร้อมกับผู้ไม่ติดเชื้อ ซึ่งอาจเป็นญาติ เพื่อน หรือคู่สมรส ผู้ได้รับอนุมัติยังได้รับการอบรมให้ความรู้เรื่องการทำธุรกิจอีกด้วย  วัตถุประสงค์ของโครงการนี้ คือ เพื่อให้โอกาสด้านความมั่นทางเศรษฐกิจและเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้กับผู้ติดเชื้อเอชไอวี และเพื่อลบอคติและเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อ

โครงการนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี 2547 และดำเนินการเรื่อยมา ปัจจุบันมีผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตนี้แล้วกว่า 1,300 คน มีการอนุมัติปล่อยเงินกู้ออกไปกว่า 30 ล้านบาท นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือด้านการเงินแล้ว โครงการนี้ยังเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้ทำงานร่วมกับผู้ไม่ติดเชื้อ อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี โดยเราได้เปิดโครงการนี้ในกรุงเทพและอีกห้าจังหวัดคือ เชียงใหม่ ชลบุรี เชียงราย นครราชสีมา และขอนแก่น

โครงการ “ปาท่องโก๋” ได้รับยกย่องให้เป็นโครงการตัวอย่างดีเด่น (Best Practice) จากโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ หรือ USAIDS และได้รับรางวัล Asian CSR Awards for the Year 2011

โครงการค่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชน

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ได้ริเริ่มโครงการค่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชนขึ้นในปี 2549 โดยมอบโอกาสให้เด็กผู้ประสบภัยสึนามิได้พัฒนาศักยภาพและวุฒิภาวะทางอารมณ์ ผ่านการเรียนรู้ทักษะชีวิตในด้านต่างๆ เราได้ร่วมมือกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จัดค่ายอบรมทักษะชีวิตให้แก่เด็กและเยาวชนในจังหวัดพังงา โดยได้บริจาคเงินไปแล้วกว่า 6 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน 

ช่วงสองปีแรกของการจัดทำโครงการนี้ (2549-2550) เราเน้นการให้ทักษะที่จะช่วยให้เด็กสามารถช่วยผู้ปกครองลดรายจ่ายภายในบ้านและมีรายได้พิเศษ  ต่อมาเราเน้นเรื่องการพัฒนาชุมชนบ้านเกิดและสิ่งแวดล้อม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างบุคลิกนิสัยที่ดีและเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน ภายใต้หัวข้อต่างๆ กัน ได้แก่ “ไกด์น้อยอาสา พาคุณท่องเที่ยว” หรือ I Will Be Your Guide (ปี 2553) “ทะเลสวยด้วยมือเยาวชน” หรือ Beautiful Sea by Young Hands (ปี 2554) และ “เตรียมพร้อมสู่อนาคตที่สดใส” หรือ Get Ready for the Future (ปี 2555)

โครงการพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะชีวิตที่จำเป็นของเด็ก

จากความสำเร็จของโครงการค่ายพัฒนาศักยภาพผู้นำเยาวชน มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยและมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย จึงขยายงานพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ห่างไกลในจังหวัดสตูล โครงการพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะชีวิตที่จำเป็นของเด็ก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2555 ถึงปี 2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านของเด็กและเสริมสร้างทักษะชีวิตที่จำเป็น เพื่อแก้ปัญหาการอ่านออกเขียนได้ของนักเรียน หลังจากพบว่ามีเด็กอายุระหว่าง 6-12 ปี ในพื้นที่ชนบทเป็นจำนวนมากที่มีทักษะการอ่านและการสื่อสารต่ำกว่ามาตรฐานของเด็กในวัยเดียวกัน

การสนับสนุนการปรับปรุงทักษะดังกล่าวมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในขณะที่ประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียนที่จะมาถึงในปี 2558 ผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เมื่อปี 2551 พบว่าเด็กไทยอ่านหนังสือนอกเวลาเรียนที่ไม่ใช่หนังสือเรียน เฉลี่ยปีละ 5 เล่ม เมื่อเทียบกับเด็กในประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ มาเลเซีย เฉลี่ย 40 เล่มต่อปี สิงคโปร์ 45 เล่มต่อปี และเวียดนาม 60 เล่มต่อปี นอกจากนี้ผลการศึกษาทั่วโลกโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมื่อปี 2552 พบว่าทักษะการอ่านของเด็กไทยอยู่อันดับที่ 59 เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกันจากทั้งหมด 65 ประเทศที่ทำการสำรวจ

ปัญหาที่พบในพื้นที่ชนบทในจังหวัดสตูล ได้แก่ จำนวนครูไม่เพียงพอกับจำนวนนักเรียน การขาดแคลนหนังสือและอุปกรณ์การเรียน และการขาดแรงกระตุ้นจากพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งต้องหาเช้ากินค่ำ ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างรายวันเป็นชาวประมงหรือชาวสวนกรีดยาง และมีทักษะด้านการอ่านที่จำกัดเช่นกัน 

โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 6 ปี เรามุ่งที่จะพัฒนาทักษะการอ่านและทักษะชีวิตให้กับเด็กนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 1 – 4  ที่โรงเรียนบ้านปิใหญ่และโรงเรียนบ้านตูแตหรา ในอำเภอละงู จังหวัดสตูลโดยไม่เพียงแต่จะปรับปรุงความสามารถด้านการอ่าน แต่ยังเสริมสร้างทักษะด้านการวิเคราะห์และสรุปข้อมูล การสื่อสาร การแก้ปัญหา การบริหารอารมณ์ ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และการมีความรับผิดชอบต่อชุมชน กิจกรรมส่วนหนึ่งของโครงการนี้ คือ การปรับปรุงห้องสมุดและเพิ่มจำนวนหนังสือที่น่าสนใจและเหมาะสมกับเด็ก นอกจากนี้ยังจัดกิจกรรมอื่นๆ เช่น ค่ายทักษะชีวิตและการปั้นดินน้ำมัน เพื่อสอนทักษะชีวิตในภาคปฏิบัติ ซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนสามารถก้าวเดินไปยังจุดหมายที่ตั้งไว้ และทำความฝันให้เป็นความจริงขึ้นมาได้

WASH Project บ่อน้ำสะอาดในรัฐคะฉิ่น ประเทศเมียนมา

การเข้าถึงน้ำสะอาดเป็นปัญหาสำคัญในประเทศกำลังพัฒนา ทั่วโลกมีคนจำนวนมากที่ไม่มีแหล่งน้ำเพียงพอให้ใช้สอย คนหลายสิบล้านคนไม่มีโอกาสเข้าถึงเครื่องมือทำน้ำสะอาดที่เหมาะสม จนกระทั่งต้องเสียชีวิตด้วยโรคอุจจาระร่วง เมียนมาเป็นประเทศหนึ่งที่มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำสะอาด หลายองค์กรมีความกังวลในเรื่องระบบการบริหารจัดการน้ำอย่างพอเพียงและการมีผู้ช่วยเหลือเรื่องน้ำในเมียนมา และตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงน้ำคุณภาพดีและการมีเครื่องมือทำน้ำให้สะอาดในหมู่บ้านชนบท

มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยได้ร่วมงานกับ World Concern Myanmar เพื่อพัฒนาการเข้าถึงน้ำสะอาด ในขณะเดียวกันก็สร้างความตระหนัก ให้ความช่วยเหลือด้านองค์ความรู้ และฝึกฝนในด้านสุขอนามัยและสุขาภิบาลให้แก่ประชาชน เป้าหมายของโครงการคือการเพิ่มจำนวนครัวเรือนที่สามารถเข้าถึงน้ำสะอาด ผ่านการติดตั้งระบบจ่ายน้ำด้วยแรงโน้มถ่วงและเครื่องกรองน้ำด้วยทรายสำหรับครัวเรือน และปรับปรุงสุขอนามัยและสุขาภิบาลโดยการนำเสนอ Participatory Hygiene and Sanitation Transformation แก่ชุมชน มีการฝึกอบรมอาสาสมัครเพื่อนำเรื่องสุขอนามัยและสุขาภิบาลไปถ่ายทอดและฝึกฝนให้แก่ชุมชน ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้รับคือการเข้าถึงน้ำสะอาดที่เพียงพอและยั่งยืนของแต่ละครัวเรือนในหมู่บ้านเป้าหมายทั้ง 4 แห่ง พัฒนาสุขภาวะด้านต่าง ๆ ได้แก่ สุขอนามัย โภชนาการ สุขภาพ และลดภาระงานของสตรีและวัยรุ่นที่ต้องเดินทางไกลเพื่อนำน้ำกลับมายังครัวเรือน

โครงการนี้อยู่ในยุทธศาสตร์ของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยในด้าน “พัฒนาคุณภาพชีวิต” เราตระหนักถึงความสำคัญของการเข้าถึงน้ำสะอาดอย่างในปริมาณที่เพียงพอ รวมถึงสุขอนามัยของผู้ด้อยโอกาสซึ่งเป็นความต้องการพื้นฐานในด้านสุขภาพ นอกจากนี้ มูลนิธิฯ ยังเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้กระชับความสัมพันธ์ ไทย-เมียนมา ซึ่งมีมายาวนานกว่า 60 ปี ซึ่งมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นจากการเปิดเสรีทางการค้าทวิภาคีและการกำเนิดของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

ศูนย์ปฐมพยาบาลไฟเซอร์

ปัญหาสุขภาพของคนไทยที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลนับเป็นปัญหาสำคัญ  เพราะสุขภาพที่ไม่ดีย่อมส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีตามมาด้วย  มูลนิธิฯ จึงมุ่งเน้น ส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน โดยดำเนินการสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลให้แก่โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความจำเป็นในชุมชนห่างไกล เพื่อให้เป็นด่านแรกสำหรับการดูแลสุขภาพอนามัยของคนในท้องถิ่น

จากการริเริ่มของมูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ร่วมกับมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยที่ได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการการเข้าถึงบริการด้านสาธารณสุขในพื้นที่จริง  พบว่าหลายโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลนั้นไม่มีห้องพยาบาล หรือมีห้องพยาบาลที่ไม่ได้มาตรฐาน ขาดบุคลากรที่มีความรู้ ขาดอุปกรณ์ และยาสามัญประจำบ้านที่จำเป็น เมื่อเด็กเกิดอุบัติเหตุในโรงเรียนจึงไม่มีสามารถทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นหรือแม้แต่จะดูแลเด็กที่มีอาการเจ็บป่วยเล็กน้อยได้ อีกทั้งโรงเรียนบางแห่งในพื้นที่ก็ตั้งอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือหน่วยบริการด้านสุขภาพ ทำให้เป็นอุปสรรคและรักษาได้ไม่ทันเวลา จึงได้ร่วมกันดำเนินโครงการสร้างศูนย์ปฐมพยาบาล (Pfizer First-aid Center) ขึ้นเป็นแห่งแรกที่โรงเรียนกลุ่มนักข่าวหญิง 2 (บ้านบ่อหวี) อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เพื่อเป็นเป็นศูนย์กลางการใช้ประโยชน์ด้านสุขอนามัยอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านความรู้ การอบรม การปฏิบัติ และการปฐมพยาบาลให้แก่นักเรียนและประชาชนในพื้นที่

ภายในปี 2566 มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทย ร่วมด้วยมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยจะดำเนินการสร้างศูนย์ปฐมพยาบาลในพื้นที่ที่มีความจำเป็นทั่วประเทศไทยให้แล้วเสร็จเป็นจำนวนรวมทั้งหมด 10 แห่ง ใน 9 จังหวัด ได้แก่ ราชบุรี ระนอง พังงา เชียงใหม่ บุรีรัมย์ อุทัยธานี จันทบุรี เพชรบุรี และสตูล เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการดูแลสุขภาพอนามัย และเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดียิ่งขึ้

รางวัลความสำเร็จ

กว่า 20 ปี ที่มูลนิธิไฟเซอร์ประเทศไทยได้ดำเนินโครงการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวไทยในด้านต่างๆ มูลนิธิฯ และบริษัทไฟเซอร์ฯ จึงได้รับการยอมรับและเป็นที่จดจำจากหน่วยงานต่างๆ ในฐานะบริษัทที่มุ่งมั่นในการพัฒนาสังคม

บริษัทไฟเซอร์ฯ ได้รับรางวัล AMCHAM’s CSR Excellence Award จาก The American Chamber of Commerce in Thailand ติดต่อกับเป็นเวลา 10 ปี (2013-2022) มีสถานะเป็นระดับ Platinum ซึ่งเป็นระดับสูงสุด

โครงการปาท่องโก๋
ปี 2005 ได้รับรางวัล Best Practice Collection จาก UNAIDS
ปี 2011 ได้รับรางวัล Asian CSR Award จาก the Asian Institute of Management, the Ramon V Del Rosario Sr. Center ในหมวด Corporate Social Responsibility under the category of “Health Enhancement”

PP-UNP-THA-0707​
ร่วมงานกับเรา เงื่อนไขการใช้บริการ นโยบายความเป็นส่วนตัวโปรดปรึกษาแพทย์หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคหรือการใช้ยา
 
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด 1 อาคารพาร์ค สีลม ชั้น 27 ห้อง 2701-2704 และ 2707-2708 ถนนคอนแวนต์ แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพฯ 10500 โทรศัพท์ 02-761-4555
บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอสงวนสิทธิในลิขสิทธิ์ทั้งปวง ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในไซต์นี้มีไว้เฉพาะเพื่อบุคคลซึ่งมีถิ่นที่ อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ฉลากผลิตภัณฑ์และเอกสารกำกับยาของ ผลิตภัณฑ์ที่มีการกล่าวถึงในไซต์นี้อาจแตกต่างกันในแต่ละประเทศ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท ไฟเซอร์เป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยพัฒนาสุขภาพของ บุคคลโดยการวิจัยและพัฒนายา
 
Copyright © Pfizer (Thailand) Limited. All rights reserved.